‘เฉลิมชัย’นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ปี 2564 ชู 8 กระทรวงร่วมบูรณาการเคลื่อนภารกิจสำคัญ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564ในส่วนของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก) มีพันจ่าเอกประเสริฐ มาลัย รองเลขาธิการ ส.ป.ก. นายวุฒิพงศ์ เนียมหอม รองเลขาธิการ ส.ป.ก. นายประดิษฐ์ ใจรังษี ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและแผนงาน และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2563
สำหรับการประชุมครั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนงานโครงการ งบประมาณ ของแต่ละหน่วยงาน ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ประกอบด้วย 8 กระทรวง ในการเข้าร่วมบูรณาการการขับเคลื่อนภารกิจ คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (เป็นผู้รับผิดชอบหลัก) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานอื่นของรัฐ คือ สภาเกษตรกร และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย โดยงบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564
อย่างไรก็ตาม จากการแถลงผลการประชุมคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 (เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563) ของน.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แผนงานบูรณาการการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ โดยที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวทางการจัดทำแผนงานบูรณาการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก วงเงินงบประมาณ 8.9 พันล้าน ซึ่งประกอบด้วย 114 โครงการ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก มี 8 กระทรวง ร่วมบูรณาการการขับเคลื่อนภารกิจ คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (เป็นผู้รับผิดชอบหลัก) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันยังมีหน่วยงานอื่นของรัฐ คือ สภาเกษตรกร และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย โดยงบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีวงเงินเพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ.2563 ถึง 5.9 พันล้านบาท และยังมีแผนงานด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของรายกระทรวง ที่จะดำเนินการควบคู่กันไป ทั้งนี้ ต้องนำเข้าเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในวันที่ 24 มกราคม 2563 นี้
ที่สำคัญ เป้าหมายของแผนบูรณาการ ฯ คือ ชุมชนและเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น (ร้อยละ 6 ต่อปี) และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของรายได้ กลุ่มเป้าหมาย คือ 1.) ผู้มีรายได้น้อย 2.) เกษตรกรรายย่อย 3.) สถาบันเกษตรกร 4.) วิสาหกิจชุมชน 5.) ผู้ผลิตผู้ประกอบการชุมชน พื้นที่ดำเนินการครอบคลุม 7,255 ตำบลทั่วประเทศ
ทั้งนี้แนวทางการทำงาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการที่ดินแก่เกษตรกรรายย่อยและผู้ด้อยโอกาส ให้มีที่ดินทำกินอย่างถูกกฎหมาย ไม่มีการบุกรุกป่าเพิ่ม ผ่านกระบวนการของกลไกต่างๆ เช่น ส.ป.ก. โฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน นิคมสหกรณ์ นิคมสร้างตนเอง อีกทั้งให้ความสําคัญกับการคัดเลือกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพการผลิตสินค้า ควบคู่กับการทำการตลาด สินค้าที่ผลิตต้องจำหน่ายได้ และภาพรวมของแผนบูรณาการแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. ต้นทาง มุ่งเป้าการพัฒนาศักยภาพประชาชนตามกลุ่มเป้าหมาย สนับสนุนการเข้าถึงทรัพยากรและปัจจัยการผลิต (ตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 2.4 แสนราย) และส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ (ไม่น้อยกว่า 3 แสนราย)
2.กลางทาง มุ่งเป้าพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์และการให้บริการชุมชน พัฒนาผู้ประกอบการชุมชน วิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรุ่นใหม่ (ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 4,300 กลุ่ม)
3. ปลายทาง พัฒนาระบบบริหารจัดการและกลไกตลาด สนับสนุนให้เข้าถึงตลาดทั้ง online และ offline (ตั้งเป้ารายได้จากการจำหน่ายสินค้าชุมชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ) ตัวอย่างโครงการ อาทิ
1.โครงการบริหารจัดการที่ดินทำกินแก่เกษตรกรรายย่อยและผู้ด้อยโอกาส วงเงิน1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 1.1 พันล้านบาท
2.โครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตร วงเงิน 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 873 ล้านบาท
3.โครงการ Smart Farmer วงเงิน 635 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 434 ล้านบาท
4.โครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านการเกษตร วงเงิน 352 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 266 ล้านบาท
5.โครงการพัฒนาสินค้าชุมชน วงเงิน1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 711 ล้านบาท เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนในพื้นที่ 20 จังหวัด(ที่มีเกษตรกรฐานะยากจน) ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม วงเงิน 80 ล้านบาท เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณพ.ศ. 2564 เป็นครั้งแรก
6.โครงการพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และธุรกิจชุมชน วงเงิน 503 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณพ.ศ. 2563 จำนวน 423 ล้านบาท
7.โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร วงเงิน 538 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณพ.ศ. 2563 จำนวน 459 ล้านบาท เช่น การพัฒนาระบบเก็บข้อมูลการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดของสหกรณ์ ด้วยเทคโนโลยี Blockchain วงเงิน 73 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการ
ในปีงบประมาณพ.ศ.2564 เป็นครั้งแรก กลุ่มเป้าหมาย คือ สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 30 แห่ง ในสินค้าเกษตร 4 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และปาล์มน้ำมัน
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญในการวางกรอบแนวทางการทำงานบูรณาการดังกล่าว ซึ่งเป็นอีกกลไกสำคัญหนึ่งที่จะเข้าไปสร้างความเข้มแข็งแก่กลุ่มเกษตรกร ชาวบ้านในชุมชน และยังได้แก้ไขปัญหาการบริหารราชการ ที่เป็นแบบต่างคนต่างทำระหว่างกรมและกระทรวง นำไปสู่การใช้งบประมาณไม่คุ้มค่าและไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ได้
ปรัชญา รัศมีธรรมกุล รายงาน