มหัศจรรย์มะม่วงหิมพานต์
—————————————-
ยาเม็ดวิตามินธรรมชาติ
มะม่วงหิมพานต์ นับได้ว่าเป็นอาหารสุดยอดปรารถนาประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาดที่หวานมันอร่อย และยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์อีกมากมาย เช่น ธาตุทองแดง แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินเค นอกจากนี้ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์(phytonutrients) เช่น antioxidants tyrosinase melanin elastin proanthocyanidins และ oleic acid ซึ่งช่วยให้กระดูกแข็งแรง ข้อต่อยืดหยุ่น ลดภาวะไมเกรน ช่วยให้ความจำดีขึ้น ลดความดันโลหิต ช่วยป้องกันรังสี UV โรคหัวใจ และมะเร็ง
ไฟโตนิวเทรียนท์ ไฟโตนิวเทรียนท์ หรือ สารพฤกษเคมี หมายถึง สารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่พบเฉพาะในพืช สารกลุ่มนี้อาจเป็นสารที่ทำให้พืชผักชนิดนั้นๆ มีสี กลิ่นหรือรสชาติที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว สารพฤกษเคมีเหล่านี้หลายชนิดมีฤทธิ์ต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิดและโรคสำคัญที่มักจะกล่าวกันว่าสารกลุ่มนี้ช่วยป้องกันได้คือ “ โรคมะเร็ง ” กลไกการทำงานของสารพฤกษเคมีเมื่อเข้าสู่ร่างกายอาจเป็นไปโดยการช่วยให้เอ็นไซม์บางกลุ่มทำงานได้ดีขึ้น เอ็นไซม์บางชนิดทำหน้าที่ทำลายสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย มีผลทำให้สารก่อมะเร็งหมดฤทธิ์ ซึ่งปัจจุบันพบสารพฤกษเคมีแล้วมากกว่า 15,000 ชนิด
ผักและผลไม้รวมเข้มข้น คือ สารสกัดเข้มข้นที่ได้จากผักและผลไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งให้สารอาหารและสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนั้น ผักและผลไม้ยังเป็นแหล่งที่ดีที่สุดสำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ คนไทยส่วนมากรับประทานผักและผลไม้ได้ไม่เพียงพอในแต่ละวัน จึงอาจจะมีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับต่ำ การบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน จะช่วยให้ประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้
นักวิทยาศาสตร์ พบว่า สารพฤกษเคมีสร้างประโยชน์ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
ต้านออกซิเดชั่น ทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับดีเอ็นเอ เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้สารพฤกษเคมีลดการเกิดโรคมะเร็งได้ และเพิ่มภูมิต้านทานโรค เป็นต้น
จากการวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พบว่า มะม่วงหิมพานต์ ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นยาเม็ดวิตามินธรรมชาติ (nature’s vitamin pill) มีแร่ธาตุสารอาหารหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ทองแดง และแมงกานีส และวิตามินเค ซี่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย
ธาตุเหล็ก (Iron) มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมากในการผลิตเฮโมโกลบิน ไมโอโกลบินและเอนไซม์บางชนิด และมีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญของ วิตามินบี โดยทองแดง โคบอลต์ แมงกานีส วิตามินซี มีความสำคัญอย่างมากต่อการดูดซึมของธาตุเหล็ก แต่ วิตามินอี และสังกะสี ที่มีมากเกินไป จะขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็กเสียเอง ธาตุเหล็กที่เรารับประทานเข้าไปในร่างกายนั้น มักจะถูกดูดซึมเข้ากระเลือดได้เพียงแค่ 8% เท่านั้น
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม ในร่างกายจะมีธาตุเหล็กประมาณ 4 กรัม แต่ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือประมาณ 10 – 15 มิลลิกรัม สำหรับหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 30 มิลลิกรัมต่อวัน โรคจากการขาดธาตุเหล็ก ได้แก่ โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เด็กมีพัฒนาการเจริญเติบโตช้า มีร่างกายอ่อนเพลีย ผิวพรรณดูไม่สดใส ผิวซีด
ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ได้แก่ ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกาย ช่วยเสริมความต้านทานต่อการเจ็บป่วย ช่วยป้องกันและรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และช่วยทำให้สีผิวพรรณดูเรียบเนียนฃ
แมกนีเซียม (Magnesium) มีความสำคัญต่อการเผาผลาญของ แคลเซียม และ วิตามินซี เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม โดยแมกนีเซียมมีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก. หรือ mg.) มีความสำคัญต่อการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ เป็นแร่ธาตุที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ และส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลในเลือกให้เป็นพลังงาน โดยในร่างกายมนุษย์จะมีแมกนีเซียมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 กรัม หรือ 21,000 มิลลิกรัม
หากร่างกายขาดแมกนีเซียม จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันป้องกันโรคต่าง ๆของร่างกายจะลดลง ระบบกล้ามเนื้อและระบบย่อยอาหารอาจทำงานผิดปกติ ระบบประสาทบางส่วนอาจถูกทำลาย กระดูกอ่อนจนร่างกายรับน้ำหนักไม่ไหว ร่างกายจะเก็บสะสมพลังงานไว้ไม่ได้ โดยศัตรูของแมกนีเซียม ได้แก่ แอลกอฮอล์ และยาขับปัสสาวะ นอกจากนี้คนที่ผิวแพ้ง่ายมักจะขาดแมกนีเซียม เนื่องจากแมกนีเซียมน้อยเกินไปจะทำให้เกิดการแบ่งเซลล์ที่ไม่ดี การสร้างเกราะป้องกันผิวก็แย่ตามไปด้วย
แมกนีเซียมยังจำเป็นสำหรับการพัฒนาเซลล์ให้เปลี่ยนเป็นเซลล์ชั้นขี้ไคลด้วยและยังช่วยลดการหลังของฮีสตามีน ที่เป็นสาเหตุของอาหารคันของผิวหนังด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน ช่วยรักษาอาการซึมเศร้า ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยทำให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ช่วยทำให้ฟันแข็งแรง และยังช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนอีกด้วย
ประโยชน์ของแมกนีเซียม ได้แก่ ช่วยในการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยรักษาอาการซึมเศร้าได้ ป้องกันการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยทำให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง ช่วยป้องกันโรคหัวใจเฉียบพลัน ช่วยลดความรุนแรงของการเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Anginapain) ช่วยให้สุขภาพฟันแข็งแรง ช่วยป้องกันการคลอดบุตรก่อนครบกำหนด ช่วยบรรเทาอาการปวดก่อนมีประจำเดือน (PMS) ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ ช่วยป้องกันการสะสมตัวของแคลเซียม นิ่วในไต และนิ้วในถุงน้ำดีได้ เมื่อทำงานร่วมกับแคลเซียม จะทำงานคล้ายยาสงบประสาท บรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ และมีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาโรคหืดหอบ
ฟอสฟอรัส (Phosphorus) เป็นแร่ธาตุที่สามารถพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันกับกระบวนการทางเคมีของร่างกายในเกือบทุกส่วน มีความสำคัญต่อการทำงานที่เป็นปกติสม่ำเสมอของหัวใจ และสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของไต ต่อโครงสร้างของกระดูกและฟัน ร่างกายจำเป็นต้องใช้ฟอสฟอรัสในกระบวนการส่งต่อสัญญาณประสาท
ถ้าหากร่างกายขาดฟอสฟอรัส วิตามินบี 3 จะไม่สามารถดูดซึมได้ และโรคจากการขาดฟอสฟอรัส ได้แก่ โรคเหงือกอักเสบและโรคกระดูกอ่อนในเด็ก โดยศัตรูของฟอสฟอรัส ได้แก่ การรับประทาน ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม อลูมิเนียม มากเกินไป อาจทำให้ฟอสฟอรัสด้อยประสิทธิภาพลง
ฟอสฟอรัส สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง ช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ฟอสฟอรัส ช่วยบรรเทาอาการปวดจากข้ออักเสบได้ มีส่วนช่วยในกระบวนการเผาผลาญไขมันและแป้ง ทำให้ร่างกายมีพลังงานและกระปี้กระเปร่า
สังกะสี (ซิงค์) หรือ Zinc เป็นตัวช่วยควบคุมให้กระบวนการต่าง ๆในร่างกายดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคอยช่วยซ่อมบำรุงระบบเอนไซม์และเซลล์ต่าง ๆ หากร่างกายมีเหงื่อออกมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายต้องสูญเสียสังกะสีไปมากถึง 3 มิลลิกรัม ต่อวัน
ศัตรูของธาตุสังกะสี คือ ไฟเทต ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสังกะสีได้ และสังกะสีมักถูกทำลายจากกระบวนการแปรรูปอาหาร หรืออาจมีปริมาณน้อยมากเนื่องจากพืชผักนั้นปลูกในดินที่ไม่มีแร่ธาตุ และโรคจากการขาดสังกะสี ได้แก่ โรคต่อมลูกหมากโต อวัยวะสืบพันธุ์ไม่เจริญเต็มที่ และโรคผนังหลอดเลือดแดงแข็ง
ทองแดง (Copper) ช่วยเปลี่ยน ธาตุเหล็ก ให้เป็นเฮโมโกลบิน หลังจากรับประทานจะถูกดูดซึมเขาสู่กระแสเลือดภายใน 5 นาที โดยช่วยทำให้ร่างกายใช้กรดแอมิโนไทโรซินได้ โดยไทโรซินคือส่วนหนึ่งของการสร้างเม็ดสีที่เส้นผมและผิวหนัง และมีความจำเป็นต้องใช้เป็นตัวประกอบในการนำวิตามินซีไปใช้งาน แหล่งที่พบได้ตามธรรมชาติ ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่าง ๆ โฮลวีต ลูกพรุน เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลส่วนใหญ่ กุ้ง เป็นต้น
โรคจากการขาดแร่ธาตุทองแดง ได้แก่ โรคโลหิตจาง อาการบวม โรคของกระดูก และโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ ประโยชน์ของธาตุทองแดง ช่วยให้ร่างกายมีพลังงาน โดยการช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แมงกานีส (Manganese) ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อกระบวนการนำ ไบโอติน วิตามินบี1 วิตามินซี มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีความสำคัญต่อโครงสร้างกระดูก สำคัญต่อกระบวนการย่อยอาหารเพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ สำคัญต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์และระบบประสาท และมีความสำคัญต่อการสร้างไทรอกซิน ซึ่งฮอร์โมนหลักของต่อมไทรอยด์ โดยมีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก. หรือ mg.)
แมงกานีส ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน ช่วยให้ความจำดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต ธาตุทองแดงช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจ และมะเร็ง แมกนีเซียมร่วมกับธาตุทองแดงช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง แมกนีเซียมร่วมกับเมลานิน() และ อีลาสติน() ช่วยให้ข้อต่อยืดหยุ่น ช่วยให้เส้นประสาทให้ทำงานได้ดี นอกจากนี้ มะม่วงหิมพานต์ มี proanthocyanidins ซึ่งช่วยต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้
วิตามินเค หรือ เมนาไดโอน เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน โดยวิตามินเค มี 3 ชนิด คือ วิตามินเค1 (ฟิลโลควิโนน) พบได้ในผักใบเขียว , วิตามินเค2 (เมนาควิโนน) สร้างขึ้นโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ , วิตามินเค3 (ไฮโดรฟิลโลควิโนน) ซึ่งเป็นวิตามินสังเคราะห์
วิตามินเค1 , วิตามินเค2 มีความสำคุญต่อสุขภาพที่ดีในแง่ที่แตกต่างกัน ส่วนวิตามินเค3 ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ และไม่ได้ทำหน้าที่เป็นวิตามินเคอย่างแท้จริง และในตัวมันเองก็ไม่จัดว่าเป็นวิตามินที่ดีต่อร่างกาย โดยวิตามินเคจะมีหน่วยวัดเป็นไมโครกรัม (มคก. หรือ mcg.) และมีความสำคัญในการสร้างโพรทรอมบิน (Prothrombin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว โรคจากการขาดวิตามินเค ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบซีลิแอก (Celiac) โรคบิดสปรู (Sprue) และโรคลำไส้อักเสบ
วิตามินเค ช่วยป้องกันเลือดออกภายในและเลือดออกไม่หยุด ช่วยบรรเทาอาการประจำเดือนมามากกว่าปกติ ช่วยในกระบวนการสร้างลิ่มเลือด และช่วยป้องกันกระดูกเปราะบาง