CPF รักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ  รักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร   (Food Products) ได้รับการจัดลำดับด้านความยั่งยืน Top 5% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เผยแพร่ในรายงาน The Sustainability Yearbook 2023 ของ S&P Global  ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม  สิ่งแวดล้อม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า  ซีพีเอฟยังรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตอาหาร โดย S&P Global ได้ประกาศรายชื่อองค์กรชั้นนำที่เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และซีพีเอฟได้รับการบันทึกในรายงาน The Sustainability Yearbook 2023 โดยได้คะแนนติดอันดับ Top 5%  ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร รักษาตำแหน่งต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน  ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม  สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) เดินหน้าสร้างความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้วิสัยทัศน์เป็น”ครัวของโลก”
“ซีพีเอฟ  ดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายเป็นองค์กรที่ยั่งยืน โดยยึดปรัชญา3 ประโยชน์ คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน  และมองประโยชน์ของบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย โดยได้ประกาศเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายความยั่งยืนของสหประชาชาติได้ทั้ง 17 ข้อ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง “นายประสิทธิ์ กล่าว
ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทาง BCG (Bio-Circular-Green Economy) และมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยได้ประกาศเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ในปี 2050  โดยล่าสุด ปี 2022 บรรลุเป้าหมาย Coal Free ยกเลิกการใช้ถ่านหิน  100  % สำหรับกิจการประเทศไทย และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งในรูปแบบของไบโอแก๊ส (Biogas) พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ทุกรูปแบบทั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) โซลาร์ฟาร์ม (Solar Farm) และโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำ (Solar Floating)
นอกจากนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำเกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด     การจัดหาวัตถุดิบด้วยความรับผิดชอบจากแหล่งที่ไม่ตัดไม้ทำลายป่า 100 %   พัฒนานวัตกรรมและนำเทคโนโลยีมาใช้ตลอดกระบวนการผลิต   ดูแลสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียมของพนักงาน คู่ค้า และชุมชน การส่งเสริมคู่ค้าธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล  รวมไปถึงมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน  และการปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการ
ทั้งนี้  S&P Global เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก  โดยในปีนี้มีบริษัทจดทะเบียนกว่า 7,800 บริษัท  จาก 61 อุตสาหกรรม เข้าร่วมการประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และในจำนวนดังกล่าวมี 708 บริษัทที่ผ่านการประเมินและได้รับการเผยแพร่ใน The Sustainability Yearbook 2023 ซึ่งเป็นรายงานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก