การสร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญในการรับมือผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เป็นต้นเหตุของภัยแล้ง น้ำท่วม ฯลฯ และต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน
เป็นเวลามากกว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ความร่วมมือขับเคลื่อน “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ส่งผลเชิงบวกต่อเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในแง่ของผลผลิตที่ดีขึ้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ลดลง จากการลดการใช้ปุ๋ยเคมี
ความสำเร็จของกระบวนการบริหารจัดการน้ำภายในองค์กรของซีพีเอฟ ที่นำน้ำหลังการบำบัดด้วย Biogas ในฟาร์มเลี้ยงสุกร ซึ่งเป็นน้ำที่ยังมีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับพืช เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” กลับมาใช้ประโยชน์ในฟาร์ม ทั้งรดต้นไม้ สนามหญ้า และแปลงผักปลอดภัย ที่พนักงานปลูกในพื้นที่ว่างของฟาร์มไว้เพื่อบริโภค และด้วยสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกๆปี น้ำปุ๋ยจากฟาร์ม จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรโดยรอบ
สิงห์คำ อินทะ เกษตรกรรุ่นบุกเบิกที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจอมทอง จ.เชียงใหม่ มาใช้กับไร่ข้าวโพดหวาน มานานกว่า 20 ปี เล่าว่า เริ่มแรกที่ขอใช้น้ำปุ๋ยเพราะต้องการลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี เมื่อใช้น้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุไนโตรเจนสูงเหมาะกับข้าวโพดหวาน ต้นโตไว ฝักใหญ่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น รายได้จึงเพิ่มตาม และยังลดค่าปุ๋ยได้ถึง 50-70% จากนั้นเกษตรกรรอบข้างก็ชวนกันมาใช้น้ำปุ๋ย ปัจจุบันใช้อยู่ 15 ราย ทั้งปลูกข้าวโพดหวานและผักสวนครัวโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ที่ผ่านมาไม่ต้องเสี่ยงกับภัยแล้ง มีน้ำใช้เพียงพอตลอดทั้งปี
ด้าน ณรงค์สิชณ์ สุทธาทิพย์ ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรกร และประธานหมอดินจังหวัดจันทบุรี เล่าว่า รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจันทบุรี 2 ซึ่งปัจจุบันปรับปรุงเป็นระบบท่อลำเลียงน้ำที่เปิดใช้วันละ 2-4 ราย ให้เกษตรกร 20 ราย บนพื้นที่ 200 กว่าไร่ ใช้ในสวนผลไม้ ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ กล้วย เฉพาะตนเองใช้ในสวนทุเรียน 10 กว่าไร่ ผลผลิตดีขึ้นมาก ติดผลดี คุณภาพผลผลิตดี เพราะน้ำปุ๋ยมีอินทรีย์วัตถุที่ดีแทนปุ๋ยเคมี ช่วยปรับโครงสร้างดิน ปรับปรุงบำรุงดิน ต้นไม้จึงเจริญงอกงาม ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีไปกว่า 20-30%
จากความสำเร็จของธุรกิจสุกร เป็นแนวทางที่ดีที่ธุรกิจอื่นๆ นำไปใช้เป็นต้นแบบ อาทิ คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของซีพีเอฟ จำนวน 9 แห่ง ที่ส่งต่อน้ำปุ๋ยให้เกษตรกรใกล้เคียง วิโรจน์ ใจด้วง ปลูกหญ้าเนเปียร์ บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ซึ่งการปลูกหญ้าต้องใช้ปุ๋ยยูเรียจำนวนมาก จึงเริ่มรับน้ำตั้งแต่ปี 2564 จากฟาร์มไก่ไข่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยฟาร์มวางระบบท่อยาว 1 กิโลเมตร ส่งมาให้โดยต้องผสมกับน้ำจากคลองชลประทานอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใช้ตอนหลังเก็บเกี่ยวหญ้าเพื่อปรับสภาพดิน ใช้น้ำ 3-4 เดือนต่อครั้ง หลังใช้พบว่าหญ้าลำต้นอวบใหญ่ใบใหญ่โตเร็ว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรียอีกเลย ช่วยลดรายจ่ายไปถึง 4,000 บาทต่อปี และได้ผลผลิตเพิ่มเกือบ 50%
ภูเมฆ ถ้ำขี้นาค เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ต.หนองเสาเล้า อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น เล่าว่า ปี 2565 ในพื้นที่มีปัญหาภัยแล้ง ตนเองมีไร่อ้อยติดกับฟาร์มไก่ไข่ขอนแก่น จึงขอน้ำมาทดลองใช้ปลูกอ้อย 30 ไร่ ทางโรงงานต่อท่อน้ำให้ใช้โดยตรง เมื่อใช้ช่วงเตรียมดินสังเกตว่าดินคืนสภาพดี ต้นอ้อยเจริญเติบโตดีลำใหญ่ยาว ได้ผลผลิตไร่ละ 21-22 ตัน จากเดิมได้เพียง 15 ตันต่อไร่ และยังลดค่าปุ๋ยเคมีจากเดิม 9 หมื่นบาทต่อปี หลังใช้น้ำปุ๋ยก็ไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีและไม่เคยประสบปัญหาแล้งอีกเลย ส่วนไร่อ้อยอีก 10 ไร่ ในอีกพื้นที่เลือกใช้ปุ๋ยกากไบโอแก๊สที่คอมเพล็กซ์ต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ โดยนำไปใส่รองพื้นก่อนปลูกอ้อย ช่วยประหยัดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีได้ 60-70% ผลผลิตเพิ่มกว่า 30%
เสียงสะท้อนจากเกษตรกร ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ไม่เพียงเกิดประโยชน์กับองค์กร แต่ยังมองรวมไปถึงความมั่นคงด้านน้ำตลอดห่วงโซ่คุณค่าอีกด้วย./
คลิกชมคลิป TikTok >>
@cpf.journey โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร เดินหน้าส่งต่อน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรและคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ ช่วยเกษตรกรบรรเทาภัยแล้ง 🌾💧 เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน สร้างรายได้ให้ชุมชน 💚♻️ #เกษตรกร #CPF #sustainability