นายดุสิต ชัยรัตน์ Head of Smart Solution Business เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ร่วมแสดงความยินดีกับ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณภวรัญชน์ อุดมศิริ
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ฝ่ายพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ในโอกาสที่โครงการ THE GRAND Riverfront Ratchapruek – Rama 5 คว้ามาตรฐาน LEED for Homes ( v4.1 Residential Single Family) ระดับ Gold บ้านเดี่ยวต้นแบบแห่งความยั่งยืนเป็นที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก U.S. Green Building Council®(USGBC®) ภายใต้ผลงานทีมที่ปรึกษาอาคารจาก เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์ คอนซัลติ้ง
“เอสซีจี มุ่งมั่นส่งเสริมการพัฒนาอาคารเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยทีมงานเอสซีจีมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาคารเขียวและการพัฒนา net zero building มาอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเอสซีจีมีผู้เชี่ยวชาญ LEED GREEN RATER คนแรกและคนเดียวในประเทศไทยซึ่งสามารถตรวจสอบอาคารให้ผ่านเกณฑ์ที่ LEED กำหนดได้ การที่โครงการ THE GRAND Riverfront Ratchapruek – Rama 5 ได้รับการรับรอง LEED เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของโครงการที่ให้ความสำคัญทั้งด้านการสร้างสุขภาวะที่ดีในการพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัย และยังใส่ใจต่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” นายดุสิต กล่าว
โดยสาระสำคัญตามมาตรฐานอาคาร LEED ที่ทำให้โครงการ THE GRAND Riverfront Ratchapruek – Rama 5 โดดเด่น ประกอบด้วย
- ด้านพลังงาน – ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีกว่าบ้านทั่วไปกว่า 75% จากการเลือกใช้ระบบปรับอากาศ,วัสดุกรอบอาคารที่มีประสิทธิภาพสูง รวมไปถึงติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อใช้พลังงานทดแทน สามารถประหยัดพลังงานได้ ประมาณ 14,000 kWh ต่อปี ลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 5,700 กิโลกรัมต่อปี
- คุณภาพสภาวะแวดล้อมภายในอาคาร (Indoor Environmental Quality – IEQ) – ใช้ระบบระบายอากาศแบบ ERV (Energy Recovery Ventilation) นำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่บ้านและระบายอากาศเสียออก และมีการกรองอากาศด้วยแผ่นกรอง MERV 16 กำจัดฝุ่น PM2.5 ได้มากกว่า 99.7% รวมไปถึงระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ แสดงข้อมูลคุณภาพอากาศและระดับสารมลพิษภายในบ้าน
- ประสิทธิภาพการใช้น้ำ – เลือกใช้ สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง ปลูกพืชพรรณท้องถิ่นและพืชที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เพื่อลดการใช้น้ำและลดภาระการดูแลรักษาของเจ้าของบ้านจากมาตรการประหยัดน้ำ จึงช่วยลดการใช้น้ำได้มากกว่า 22% คิดเป็นประมาณ 164,567 ลิตรต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 1,750 กิโลกรัมต่อปี