ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
สสว. แจ้งว่าปี 2563 ประเดิมใช้นิยาม SMEsใหม่อย่างเป็นทางการ เน้นใช้จำนวนการจ้างงานและรายได้ในการแบ่งขนาดผู้ประกอบการ มุ่งสะท้อนลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่มรวมถึงไมโครเพื่อใช้เป็นเกณฑ์การจัดทำข้อมูล ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ ที่สะท้อนระดับการพัฒนา SMEs นำไปสู่การจัดทำมาตรการและนโยบายในการส่งเสริมได้ตรงความต้องการของแต่ละกลุ่ม และเพื่อให้มาตรการภาครัฐเข้าถึงกลุ่มธุรกิจไมโคร อ้างอิงข้อมูลในปี 2561 ธุรกิจไมโคร 2.6 ล้านราย สร้าง GDP ได้ถึง 650,000 ล้านบาทต่อปี
ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากการที่ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2562 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การกำหนดคุณลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ นิยาม SMEs ของประเทศเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป โดยนิยาม SMEs ใหม่ ใช้จำนวนการจ้างงานและรายได้เป็นเกณฑ์ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ขนาดของวิสาหกิจและโครงสร้างทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป และเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ที่ให้นำ “จำนวนรายได้” มาใช้เป็นเกณฑ์กำหนดขนาดของวิสาหกิจ
“ที่ผ่านมานิยาม SMEs มีการใช้จำนวนการจ้างงานและมูลค่าสินทรัพย์ถาวรเป็นเกณฑ์ แต่เมื่อประเทศพัฒนาเข้าสู่เศรษฐกิจ 4.0 ภาค SMEs มีการปรับใช้เทคโนโลยีมากขึ้นแทนการจ้างงานทำให้รูปแบบธุรกิจต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เช่น บางกิจการมีการจ้างงานไม่ถึง 10 คน แต่สร้างรายได้เกือบ 1,000 ล้านบาทต่อปี กลุ่มนี้ก็ไม่น่าจะเป็น SMEs และโดยที่นิยาม SMEs มีความสำคัญ เพราะถูกนำไปใช้ในกระบวนการส่งเสริมผู้ประกอบการหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อออกมาตรการหรือนโยบายช่วยเหลือของภาครัฐ เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ รวมถึงเพื่อติดตามสถานการณ์ต่างๆ ของ SMEs เช่น การเงิน การส่งออก-นำเข้า ฯลฯ สสว. จึงได้ปรับปรุงแก้ไขนิยาม SMEs ให้ใช้รายได้เป็นเกณฑ์ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดส่งเสริม SMEs คณะรัฐมนตรี และกฤษฎีกาฯ มาแล้วก่อนที่จะประกาศเป็นกฏกระทรวงดังกล่าว” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว
สำหรับนิยาม SMEs ที่ปรับปรุงใหม่มีรายละเอียด ดังนี้ วิสาหกิจขนาดย่อม (Small) คือ กิจการในภาคการผลิตสินค้าที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 50 คน หรือมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 100 ล้านบาท ส่วนกิจการในภาคการค้า (ค้าส่ง หรือค้าปลีก) และบริการ มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 30 คน หรือมีรายได้ต่อปี ไม่เกิน 50 ล้านบาท
ดร.วิมลกานต์ กล่าวว่าวิสาหกิจขนาดกลาง (Medium) คือ กิจการในภาคการผลิตสินค้าที่มีจำนวนการจ้างงานเกินกว่า 50 -200 คน หรือมีรายได้ต่อปีเกินกว่า 100–500 ล้านบาท ส่วนกิจการในภาคการค้า (ค้าส่ง หรือค้าปลีก) และบริการ มีจำนวนการจ้างงานเกินกว่า 30–100 คน หรือมีรายได้ต่อปีเกินกว่า 50–300 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากจ้างงานและรายได้ เข้าลักษณะของวิสาหกิจต่างกันให้ยึดรายได้เป็นหลักในการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม จากการประมวลผลข้อมูลของ สสว. พบว่า จำนวน SMEs ทั่วประเทศ 3,070,177 ราย เป็น วิสาหกิจขนาดย่อม (Small) 3,029,525 ราย และวิสาหกิจขนาดกลาง (Medium) 40,652 ราย โดยเฉพาะในส่วนของวิสากิจขนาดย่อมได้รวมกลุ่มวิสาหกิจขนาดย่อย หรือไมโคร( Micro )เข้าไว้ด้วย ซึ่งตามนิยามใหม่ไมโคร( Micro )คือ กลุ่มที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท การจ้างงานไม่เกิน 5 คน ซึ่งมีจำนวนถึง 2,644,561 ราย และนับเป็นวิสาหกิจส่วนใหญ่ของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85.74 ของจำนวนผู้ประกอบการรวมทั้งประเทศ ส่วนใหญ่เป็นกิจการในรูปแบบธุรกิจส่วนบุคคลมีจำนวนถึง 2,253,132 ราย ขณะที่กิจการในรูปแบบนิติบุคคลมีจำนวน 391,429 ราย
ส่วนกลุ่มไมโครที่เป็นธุรกิจส่วนบุคคล พบว่า อยู่ในภาคการค้ามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 44.58 กิจการที่มีเป็นจำนวนมาก คือ การขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ รองลงมาอยู่ในภาคบริการ คิดเป็นร้อยละ 35.73 กิจการที่มีเป็นจำนวนมาก คือ บริการอาหารและเครื่องดื่ม และภาคการผลิต คิดเป็นร้อยละ 19.69 กิจการที่มีเป็นจำนวนมาก คือ การผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร
ดร.วิมลกานต์ กล่าวว่า ส่วนกลุ่มไมโครที่เป็นนิติบุคคล พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ คิดเป็นร้อยละ 56.33 กิจการที่มีเป็นจำนวนมาก เช่น ธุรกิจก่อสร้างอาคาร รองลงมาอยู่ในภาคการค้า คิดเป็นร้อยละ 31.99 กิจการที่มีเป็นจำนวนมาก เช่น การขายส่งยกเว้นยานยนต์และจักรยานยนต์ และ ภาคการผลิต คิดเป็นร้อยละ 11.68 กิจการที่มีเป็นจำนวนมาก เช่น ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร เมื่อพิจารณาด้านการส่งออก ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 (มกราคม-พฤศจิกายน) พบว่า กลุ่ม Micro และ SMEs หรือ MSME มีบทบาทด้านการส่งออกคิดเป็นมูลค่ารวม 910,089.90 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.36 ของการส่งออกรวมของประเทศ
ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง มีมูลค่า 549,025.80 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.06 รองลงมาเป็นธุรกิจขนาดย่อม มีมูลค่า 258,212.40 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.79
ขณะที่กลุ่มไมโครมีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 102,851.70 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.51 ซึ่งสินค้าส่งออกสำคัญ คือ ผลไม้และลูกนัตที่บริโภคได้ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก และยานยนต์และส่วนประกอบ โดยมีตลาดสำคัญ คือ จีน เวียดนาม และ สปป.ลาว
“จะเห็นได้ว่ากลุ่มไมโครมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การกำหนดลักษณะเฉพาะตัวที่ชัดเจนของแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้ภาครัฐกำหนดนโยบายและมาตรการการส่งเสริมได้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม ไมโครก็จะมีโอกาสเข้าถึงความช่วยเหลือของหน่วยงานภาครัฐได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การพัฒนานศักยภาพที่สอดคล้องกับธุรกิจ ขณะเดียวกันจะนำไปสู่การจัดทำฐานข้อมูล ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่สะท้อนระดับการพัฒนาของวิสาหกิจแต่ละกลุ่มที่ชัดเจน รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลผู้รับบริการและผลการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว
กัลฑภรณ์ สุขเย็น รายงาน