กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP เดินหน้าต่อยอดนโยบายตลาดนำการผลิต เปิดโต๊ะเจรจาธุรกิจสำหรับผู้ส่งออกกล้วยไทยและผู้นำเข้าญี่ปุ่น สร้างโอกาสการซื้อขายทั้งรูปแบบกล้วยสดและแปรรูป ในงาน THAIFEX – Anuga ASIA 2023 สร้างความสำเร็จให้สามารถเกิดยอดซื้อขายทะลุ 1,000 ล้านบาท ภายใน 1 ปี
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นนิยมบริโภคกล้วยหอมและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วยเป็นอย่างมาก เพราะเห็นว่าเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย มีคุณค่าทางอาหารสูง อีกทั้งยังมีราคาที่เข้าถึงได้และสามารถนำไปใช้แปรรูปเป็นขนมได้อีกมากมาย โดยในแต่ละปีจะมีการนำเข้ากล้วยหอมถึงกว่าปีละ 1 ล้านตัน ทั้งนี้ ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกกล้วยสดอันดับที่สองของไทยรองจากจีน ซึ่งจากการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศญี่ปุ่นในปี 2550 ได้เกิดความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่ญี่ปุ่นให้สิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีนำเข้ากล้วยหอมจากประเทศไทย เป็นโควตาส่งออกจำนวน 8,000 ตัน อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2561 – 2565 ไทยยังส่งออกกล้วยไปญี่ปุ่นเฉลี่ยปีละ 2,400 ตันเท่านั้น ทำให้ยังเหลือโควตาสำหรับส่งออกกล้วยไปญี่ปุ่นได้อีกมาก จึงเห็นถึงโอกาสในขยายตลาดและได้สั่งการให้เดินหน้าการผลักดันการส่งออกกล้วยไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นอย่างเต็มที่
ตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” และ มาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 2566 ของกระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งรวมถึงส่งเสริมการยกระดับการส่งออกสินค้าของไทยผ่านการทำโครงการและกิจกรรมส่งเสริมการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อเร่งขยายตลาดเป้าหมายในการส่งออก จึงให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผลักดันการส่งออกและเพิ่มสัดส่วนทางการตลาดสินค้าผลไม้ และสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องไปยังตลาดที่มีศักยภาพ
สำหรับแผนการเร่งการส่งออกกล้วยไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นนั้น นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับว่า “หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้กล้วยไทยสามารถส่งเข้าไปแข่งขันในตลาดญี่ปุ่นได้น้อยแม้ว่าจะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าก็ตาม คือการแข่งขันอย่างรุนแรงจากประเทศฟิลิปปินส์ที่เป็นเจ้าตลาด ซึ่งในปัจจุบันถือครองตลาดอยู่ถึงร้อยละ 76 หรือประมาณ 3 ใน 4 ของตลาดกล้วยในญี่ปุ่นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนี้ทางประเทศฟิลิปปินส์เพิ่งประกาศขึ้นราคากล้วยหอมในประเทศญี่ปุ่นด้วยเหตุผลทางด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งฟิลิปปินส์ยังประสบปัญหาโรคระบาดในกล้วยซึ่งส่งผลกระทบต่อด้านปริมาณการผลิตด้วย จึงเป็นโอกาสอันดีที่กล้วยไทยจะเข้าไปช่วงชิงตลาด
โดยในกิจกรรมครั้งนี้ ทางสำนักงานได้นำทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ อาทิ Gyomu Super ซึ่งมีสาขากว่า 1,050 สาขา และ Beisia ซึ่งมีสาขากว่า 130 สาขาทั่วญี่ปุ่น เดินทางมาพบปะเจรจาการค้ากับผู้ส่งออกและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอม ผู้ผลิตกล้วยแปรรูป และได้เชิญผู้ประกอบการกล้วย GI ของไทยที่ได้รับการรับรองจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเจรจาการค้าและเกิดการทดลองชิมสินค้า ซึ่งในส่วนตัวมีความเชื่อว่ากล้วยจากประเทศไทยมีรสชาติที่อร่อยกว่าของประเทศคู่แข่ง อีกทั้งผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปจากประเทศไทยมีความหลากหลายและมีนวัตกรรมที่น่าสนใจ และยังอาจช่วยสร้างโอกาสให้สินค้าเกษตรจากภูมิภาคของไทยให้สามารถเปิดตลาดส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่นได้ต่อไปด้วย จึงได้จัดกิจกรรมพบปะเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกกล้วยสดและผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปของไทย หรือ Thailand – Japan Banana Business Matching 2023 ขึ้น”
“กิจกรรมมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมจำนวน 87 ราย แบ่งเป็น ผู้ส่งออกชาวไทย จำนวน 23 บริษัท
38 ราย ผู้นำเข้าชาวญี่ปุ่น จำนวน 8 บริษัท 38 ราย และผู้สังเกตการณ์ จำนวน 11 ราย โดยสินค้าที่ความนิยมสูงสุด ได้แก่ กล้วยสด รองลงมาคือกล้วยทอดและกล้วยอบ นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าประเทศญี่ปุ่น อาทิ กล้วยตาก แป้งกล้วย ผงกล้วยดิบ กล้วยเคลือบ พาสต้ากล้วย โปรตีนผงกล้วย เครื่องดื่มกล้วย และน้ำส้มสายชูจากกล้วย เป็นต้น ความสำเร็จจากกิจกรรมครั้งนี้ทำให้เกิดยอดซื้อขายทันที ประมาณ 690.05 ล้านบาท และคาดว่าภายในระยะเวลา 1 ปี อีกประมาณ 380.50 ล้านบาท รวมยอดการซื้อขายทั้งหมดจากกิจกรรมกว่า 1,000 ล้านบาท และกิจกรรมนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกไทยได้พบปะกับผู้นำเข้าญี่ปุ่นโดยตรง ได้นำเสนอสินค้าแปรรูปจากกล้วยที่นับวันจะยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น”
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่งออกไทยที่ได้เข้าร่วมงานต่างแสดงความคิดเห็นว่า กิจกรรมครั้งนี้ทำให้มีโอกาสได้พบปะและแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต สามารถติดตามความคืบหน้ากิจกรรมได้ที่ www.ditp.go.th หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางสายด่วน 1169